โรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ตรวจดีเอ็นเอพ่อ-ลูก DNAเชื้อชาติ ตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจหาสารภูมิแพ้ มะเร็งต่างๆ ตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงระยะแรก HIV หนองใน ซิฟิลิส แบคทีเรีย-ไวรัส ฮอร์โมนชาย-หญิง แพคเกจรวม
Beta hCG (human chorionic gonadotropin) เป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตขึ้นโดยเซลล์ที่ปกคลุมในรกหลังจากการฝังตัวของไข่ ณ ผนังมดลูก ในการตั้งครรภ์ บทบาทและประโยชน์หลักของ beta hCG ได้แก่:
การประเมินการตั้งครรภ์: Beta hCG เป็นฮอร์โมนที่ใช้ในการตรวจสอบการตั้งครรภ์ทั้งจากการทดสอบปัสสาวะและการตรวจเลือด ระดับ hCG จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์
การสนับสนุนการตั้งครรภ์ในช่วงแรก: Beta hCG ช่วยในการสนับสนุนการตั้งครรภ์ในช่วงแรกโดยการกระตุ้นการผลิตโปรเจสเทอโรนจากคอปัสลูเทียม (corpus luteum) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมสำหรับการเจริญเติบโตของตัวอ่อน
ติดตามและประเมินสุขภาพการตั้งครรภ์: ระดับของ beta hCG ที่เปลี่ยนแปลงสามารถใช้เพื่อประเมินผลการพัฒนาของการตั้งครรภ์ เมื่อค่า hCG เพิ่มขึ้นตามที่คาดหวัง มักบ่งชี้ว่าการตั้งครรภ์นั้นเป็นไปตามปกติ แต่หากระดับ hCG ไม่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ อาจบ่งชี้ถึงปัญหา เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือการแท้ง
ใช้ในการรักษาภาวะมีบุตรยาก: Beta hCG ในรูปแบบการฉีด สามารถใช้กระตุ้นการตกไข่ในสตรีที่มีปัญหาในการตกไข่
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ระดับ beta hCG เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการประเมินปัญหาที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ควรมีการประเมินร่วมกับการตรวจวินิจฉัยอื่น ๆ และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
โปรเจสเตอโรนคืออะไร?
โปรเจสเตอโรนเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในระบบสืบพันธุ์ฮอร์โมนเป็นสารเคมีที่ส่งสารไปยังร่างกายเพื่อบอกวิธีการทำงานของร่างกาย ในผู้หญิงหรือผู้ที่ได้รับการกำหนดให้เป็นผู้หญิงตั้งแต่แรกเกิด (AFAB) โปรเจสเตอโรนจะช่วยสนับสนุนการมีประจำเดือนและช่วยรักษาระยะเริ่มต้นของการตั้งครรภ์
ความผิดปกติที่พบบ่อยที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมีอะไรบ้าง?
ระดับโปรเจสเตอโรนต่ำอาจส่งผลต่อร่างกายของคุณได้หลายประการ บางครั้งอาจมีอาการที่สังเกตได้ ระดับโปรเจสเตอโรนที่สูงมักไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณ ในบางกรณี อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งรังไข่หรือมะเร็งต่อมหมวกไต
อาการของระดับโปรเจสเตอโรนต่ำในผู้ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ได้แก่:
ความยากลำบากในการตั้งครรภ์
อารมณ์เปลี่ยนแปลง ความวิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า
ปัญหาในการนอนหลับ
อาการร้อนวูบวาบ
คุณควรทานโปรเจสเตอโรนเมื่อไร?
ผู้หญิงหรือบุคคลบางคนที่มีภาวะ AFAB จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมโปรเจสเตอโรน ผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณอาจสั่งจ่ายโปรเจสเตอโรนให้คุณหากคุณ:
มีอาการของภาวะก่อนหมดประจำเดือน (ช่วงเปลี่ยนผ่านสู่วัยหมดประจำเดือน)
จำเป็นต้องปรับรอบเดือนของคุณให้เหมาะสม
จำเป็นต้องป้องกันการตั้งครรภ์ ( มินิพิล )
ฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกายในระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากกระตุ้นหลอดเลือดเพื่อไปเลี้ยงเยื่อบุโพรงมดลูก กระตุ้นให้ส่งสารอาหารไปยังตัวอ่อนในขณะที่ตัวอ่อนเจริญเติบโต นอกจากนี้ ฮอร์โมนยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาของรก และระดับโปรเจสเตอโรนจะเพิ่มขึ้นระหว่างสัปดาห์ที่ 9 ถึง 32 ของการตั้งครรภ์
ระดับโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์จะทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตไข่ได้มากขึ้น และยังช่วยให้ร่างกายเริ่มผลิตน้ำนมสำหรับเมื่อทารกคลอดออกมาอีกด้วย
เมื่อคุณอายุมากขึ้น ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะลดลงตามธรรมชาติ ซึ่งร่วมกับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ลดลง เป็นสาเหตุของอาการทางร่างกายที่ผู้หญิงพบในช่วงวัยหมดประจำเดือนเช่น อาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ช่องคลอดแห้ง และอ่อนล้า
ระดับโปรเจสเตอโรนปกติในระยะฟอลลิเคิลของรอบเดือน (ระยะแรกของรอบเดือนซึ่งเริ่มด้วยรอบเดือนและสิ้นสุดด้วยการตกไข่) อยู่ระหว่าง 0.1 ถึง 0.7 นาโนกรัม/มิลลิลิตร
ในระยะลูเตียล ระดับโปรเจสเตอโรนอาจอยู่ระหว่าง 2 ถึง 25 นาโนกรัม/มิลลิลิตร
เมื่อคุณเข้าใกล้ช่วงก่อนหมดประจำเดือน ระดับโปรเจสเตอโรนอาจผันผวนมาก ระดับอาจลดลงต่ำกว่าระดับปกติของคุณ หรืออาจสูงกว่าปกติมาก ในช่วงก่อนหมดประจำเดือน ระดับโปรเจสเตอโรนอาจอยู่ในช่วง 0.89 ถึง 24 นาโนกรัม/มิลลิลิตร
ในช่วงวัยหมดประจำเดือน ระดับโปรเจสเตอโรนโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 0.20 นาโนกรัม/มล. หรือต่ำกว่า
การตรวจระดับเอสตราไดออล (Estradiol) มีประโยชน์หลายประการในด้านการวินิจฉัยและดูแลรักษาสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมดุลฮอร์โมนเพศและระบบสืบพันธุ์ ต่อไปนี้คือประโยชน์ที่สำคัญของการตรวจเอสตราไดออล:
การประเมินการทำงานของรังไข่ในผู้หญิง:
ช่วยวิเคราะห์ความผิดปกติของรอบเดือนและภาวะไข่ไม่ตก (Anovulation)
ใช้ติดตามการตอบสนองต่อการกระตุ้นการตกไข่ในโปรแกรมช่วยการเจริญพันธุ์ (Fertility Treatment) เช่น การทำ IVF
การวินิจฉัยและการติดตามการรักษาภาวะวัยหมดประจำเดือน:
ช่วยประเมินระดับฮอร์โมนในผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (Menopause) และพิจารณาความจำเป็นในการบำบัดทดแทนฮอร์โมน (Hormone Replacement Therapy, HRT)
การประเมินภาวะทางเพศในเด็ก:
ช่วยวินิจฉัยภาวะเจริญพันธุ์ก่อนวัย (Precocious Puberty) หรือภาวะเจริญพันธุ์ช้าในเด็ก
การตรวจหาเนื้องอกหรือนิ่วในรังไข่หรืออัณฑะ:
ระดับเอสตราไดออลที่ผิดปกติอาจชี้ให้เห็นถึงการมีมะเร็งหรือเนื้องอกในอวัยวะเพศที่ผลิตฮอร์โมน
การประเมินภาวะสุขภาพกระดูก:
เอสตราไดออลมีบทบาทสำคัญต่อการรักษาความหนาแน่นของกระดูก ดังนั้น ระดับฮอร์โมนที่ต่ำอาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน
การติดตามในการรักษาแปลงเพศ:
สำหรับหญิงข้ามเพศ (Transgender Women) ระดับเอสตราไดออลเป็นตัวชี้วัดในการประเมินและปรับการบำบัดฮอร์โมนให้เหมาะสม
การประเมินสุขภาพของอวัยวะภายในบางชนิด:
อาจใช้ร่วมกับการทดสอบอื่น ๆ ในการประเมินภาวะและการทำงานของตับหรือต่อมหมวกไต
การตรวจระดับเอสตราไดออลควรทำภายใต้การแนะนำและดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและการจัดการสุขภาพที่เหมาะสมครับ
การตรวจระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone Level) มีประโยชน์หลายประการ โดยเฉพาะในด้านการวินิจฉัยและดูแลรักษาสุขภาพ ต่อไปนี้คือประโยชน์ที่สำคัญของการตรวจนี้:
การวินิจฉัยภาวะฮอร์โมนผิดปกติในผู้ชาย:
ระดับเทสโทสเตอโรนต่ำอาจบ่งบอกถึงภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ (Hypogonadism) ซึ่งสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเช่น ความต้องการทางเพศลดลง ภาวะมีบุตรยาก อารมณ์หงุดหงิด หรือไม่มีแรง
ระดับเทสโทสเตอโรนสูงอาจชี้ให้เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับต่อมหมวกไตหรือเนื้องอกบางชนิด
การวินิจฉัยภาวะฮอร์โมนผิดปกติในผู้หญิง:
ระดับเทสโทสเตอโรนสูงในผู้หญิงอาจเป็นสัญญาณของภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome, PCOS) หรือปัญหาเกี่ยวกับต่อมหมวกไต
ช่วยในการประเมินปัญหาเกี่ยวกับการมีประจำเดือนหรือความผิดปกติอื่น ๆ
ติดตามผลในการบำบัดฮอร์โมน (Hormone Therapy):
สำหรับคนข้ามเพศที่กำลังอยู่ในโปรแกรมการบำบัดฮอร์โมน (เช่น Transgender Men) จะช่วยในการตรวจสอบว่าระดับฮอร์โมนอยู่ในช่วงที่เหมาะสมตามเป้าหมายการรักษา
ประเมินปัญหาสุขภาพอื่น ๆ:
การตรวจระดับเทสโทสเตอโรนอาจช่วยในการตรวจหาสาเหตุของปัญหาอื่น ๆ เช่น ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง อารมณ์ซึมเศร้า หรือการสูญเสียกล้ามเนื้อ
การประเมินด้านการเจริญพันธุ์:
เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินและวินิจฉัยปัญหาทางการเจริญพันธุ์ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง
การตรวจระดับเทสโทสเตอโรนควรทำภายใต้การแนะนำและดูแลของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความหมายในการดูแลสุขภาพและวางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพครับ
ประกอบด้วย
🧪 1. Total Testosterone (เทสโทสเตอโรนรวม)
✅ คืออะไร: ปริมาณฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทั้งหมดในเลือด ซึ่งรวมทั้งส่วนที่จับกับโปรตีน (SHBG และ Albumin) และส่วนที่เป็นอิสระ (Free Testosterone)
💪 ประโยชน์: เป็นตัวชี้วัดรวมว่าในร่างกายมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยกระตุ้น การสร้างกล้ามเนื้อ, ความแข็งแรง, ความต้องการทางเพศ, การเผาผลาญไขมัน และอารมณ์
⚠️ แต่! ไม่ได้บอกว่าใช้งานได้จริงมากน้อยแค่ไหน เพราะบางส่วนอาจจับกับโปรตีนจนใช้ไม่ได้
🧪 2. Free Testosterone (เทสโทสเตอโรนอิสระ)
✅ คืออะไร: ส่วนของเทสโทสเตอโรนที่ “ลอยอิสระ” ในเลือด ไม่จับกับโปรตีน จึงสามารถเข้าสู่เซลล์ได้โดยตรง
💪 ประโยชน์: นี่แหละคือ "ของจริง" ที่กล้ามเนื้อใช้! มีผลต่อการ:
สร้างมวลกล้ามเนื้อ
เพิ่มความแข็งแรง
เพิ่มพลังงาน
กระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ
📌 เหมาะกับการประเมินภาวะพร่องเทสโทสเตอโรน แม้ Total จะปกติ
🧪 3. Albumin
✅ คืออะไร: โปรตีนชนิดหนึ่งในเลือดที่สามารถจับกับฮอร์โมนบางชนิดรวมถึงเทสโทสเตอโรน
🧩 บทบาท: เทสโทสเตอโรนที่จับกับอัลบูมินยังสามารถ “ปล่อยออกมาใช้ได้” ต่างจากที่จับกับ SHBG ที่จะใช้ไม่ได้เลย
🧪 4. SHBG (Sex Hormone-Binding Globulin) = โปรตีนที่จับฮอร์โมนเพศ
บทบาทของ SHBG:
เป็นตัวควบคุมระดับ "ฮอร์โมนเพศที่ใช้งานได้จริง" หรือที่เรียกว่า Free Hormones
ช่วย รักษาสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
🧪 5. Bioavailable Testosterone (เทสโทสเตอโรนที่ใช้งานได้จริง)
✅ คืออะไร: รวม Free Testosterone + Testosterone ที่จับกับ Albumin
💪 ประโยชน์: นี่คือ “ของที่ใช้ได้จริง” มากที่สุด! เป็นตัวที่เข้าสู่เซลล์เพื่อกระตุ้นการทำงานได้
กระตุ้นการสร้างโปรตีนในกล้าม
เพิ่มมวลกล้ามและลดไขมัน
เพิ่มพละกำลังและพลังงาน
🧠 ถือเป็น ตัวชี้วัดสำคัญที่สุด สำหรับคนที่อยากวัดว่า “กล้ามจะขึ้นไหม?”
Sex Hormone Binding Globulin (SHBG)
SHBG คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตจากตับ มีหน้าที่สำคัญในการจับกับฮอร์โมนเพศ ได้แก่
Testosterone
Dihydrotestosterone (DHT)
Estradiol (ฮอร์โมนเอสโตรเจน)
SHBG จะทำให้ฮอร์โมนเหล่านี้อยู่ในรูป “ไม่อิสระ” (bound form) ซึ่งไม่สามารถออกฤทธิ์ได้
ฮอร์โมนเพศที่สามารถออกฤทธิ์ได้จริง คือ Free hormone (ฮอร์โมนอิสระ)
การตรวจระดับฮอร์โมน Testosterone และ Estradiol สำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนเพศ (Gender Transition) นั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบและปรับระดับฮอร์โมนให้สอดคล้องกับเพศเป้าหมาย การกำหนดระดับที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ สุขภาพพื้นฐาน เป้าหมายส่วนบุคคล และแนวปฏิบัติของแพทย์ผู้ดูแล สำหรับการบำบัดฮอร์โมนของคนข้ามเพศ (Transgender Hormone Therapy) สามารถสรุปได้โดยทั่วไปดังนี้:
สำหรับ Transgender Women (Male-to-Female, MTF):
Testosterone: ระดับฮอร์โมน Testosterone มักจะปรับให้อยู่ในช่วงระดับของเพศหญิง ซึ่งทั่วไปอยู่ประมาณ 30-100 นาโนกรัมต่อเดซิลิตร (ng/dL)
Estradiol: ระดับ Estradiol มักจะปรับให้อยู่ในช่วงระดับของเพศหญิงในวัยเจริญพันธุ์ โดยทั่วไปมักอยู่ระหว่าง 100-200 พิโคกรัมต่อมิลลิลิตร (pg/mL)
สำหรับ Transgender Men (Female-to-Male, FTM):
Testosterone: ระดับฮอร์โมน Testosterone มักจะปรับให้อยู่ในช่วงระดับของเพศชาย โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 300-1000 นาโนกรัมต่อเดซิลิตร (ng/dL)
Estradiol: ระดับ Estradiol มักจะให้ต่ำลงให้อยู่ในช่วงระดับของเพศชาย ซึ่งทั่วไปต่ำกว่า 50 พิโคกรัมต่อมิลลิลิตร (pg/mL)
การปรับระดับฮอร์โมนเหล่านี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านเวชปฏิบัติสำหรับคนข้ามเพศ โดยมีการติดตามผลและปรับปรุงการรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัด
ควรจำไว้ว่าการปรับระดับฮอร์โมนอาจมีความแตกต่างไปในแต่ละบุคคล ดังนั้นการทำความเข้าใจกับแพทย์และปฏิบัติตามแผนการรักษาที่วางเอาไว้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ
IGF-1 (Insulin-like Growth Factor 1) เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างคล้ายกับอินซูลิน และมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเจริญเติบโตและพัฒนาของร่างกาย ประโยชน์หลัก ๆ ของ IGF-1 มีดังนี้:
ส่งเสริมการเจริญเติบโต: IGF-1 เป็นปัจจัยหลักในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและกระดูก
พัฒนาและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ: IGF-1 ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อและเพิ่มความสามารถในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อหลังจากการบาดเจ็บหรือการออกกำลังกาย
เสริมสร้างกระดูก: IGF-1 ช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่และเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก ซึ่งสำคัญในการพัฒนากระดูกในวัยเด็กและรักษาสุขภาพกระดูกในผู้ใหญ่
ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท: IGF-1 มีบทบาทในกระบวนการสร้างเซลล์ประสาทใหม่และส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท รวมถึงความสามารถในการเรียนรู้และความจำ
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: IGF-1 ช่วยปรับการเผาผลาญกลูโคสและอินซูลิน ซึ่งสามารถส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: IGF-1 อาจมีบทบาทในการส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและเสริมสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ช่วยในการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวหนัง: เนื่องจากความสามารถในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ IGF-1 อาจช่วยในการฟื้นฟูผิวหนังและการซ่อมแซมแผล
อย่างไรก็ตาม ระดับของ IGF-1 ควรอยู่ในช่วงที่เหมาะสม การมีระดับ IGF-1 สูงหรือต่ำเกินไปอาจสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็งหรือโรคเบาหวาน ดังนั้นการประเมินและติดตามระดับ IGF-1 ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ
Growth Hormone (GH) หรือ ฮอร์โมนการเจริญเติบโต เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (anterior pituitary gland) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมถึงการเผาผลาญไขมัน โปรตีน และน้ำตาลในร่างกาย
🧠 หน้าที่ของ Growth Hormone:
กระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่น – ช่วยให้กระดูกยาวขึ้น กล้ามเนื้อขยายตัว และเพิ่มมวลร่างกาย
กระตุ้นตับให้ผลิต IGF-1 (Insulin-like Growth Factor 1) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ต่าง ๆ
ควบคุมการเผาผลาญ:
เพิ่มการสลายไขมัน (lipolysis)
ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
ส่งเสริมการสร้างโปรตีน
🧪 การตรวจ Growth Hormone ใช้ในกรณีใดบ้าง?
ในเด็ก:
ตรวจหาภาวะ ขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต (GH deficiency) หากเด็กตัวเตี้ยกว่าเกณฑ์
ตรวจภาวะ โตเร็วผิดปกติ เช่น Gigantism
ในผู้ใหญ่:
ตรวจหาภาวะ ขาด GH ซึ่งอาจสัมพันธ์กับอาการอ่อนเพลีย มวลกล้ามเนื้อลดลง ไขมันเพิ่มขึ้น
ตรวจหาภาวะ GH สูงผิดปกติ เช่น อะโครเมกาลี (Acromegaly) ที่ทำให้มือ เท้า ใบหน้า โตหนาอย่างผิดปกติ
📌 การแปลผล (โดยทั่วไป):
GH ต่ำกว่าปกติ: อาจบ่งชี้ภาวะขาด GH ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตหรือการเผาผลาญในร่างกาย
GH สูงกว่าปกติ: อาจสัมพันธ์กับโรค Acromegaly (ในผู้ใหญ่) หรือ Gigantism (ในเด็ก)
📍 หมายเหตุ: ระดับ GH มีความผันผวนระหว่างวัน จึงมักต้องตรวจร่วมกับ IGF-1 ซึ่งมีค่าคงที่กว่า และสะท้อนระดับ GH ได้แม่นยำกว่า
AMH (Anti-Müllerian Hormone) เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการประเมินสถานะการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง โดยมีประโยชน์หลัก ๆ ดังนี้:
ประเมินจำนวนไข่ในรังไข่ (Ovarian Reserve): ระดับ AMH สามารถใช้ประเมินปริมาณของไข่ที่เหลืออยู่ในรังไข่ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้หนึ่งในเรื่องความสามารถในการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง
วินิจฉัยภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัย: ระดับ AMH ที่ต่ำสามารถบ่งบอกถึงภาวะรังไข่ที่อาจจะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ (Premature Ovarian Failure) ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถจัดการและให้คำปรึกษาที่เหมาะสมได้
วางแผนการรักษาภาวะมีบุตรยาก: ในการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การเข้ารับการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) การรู้ระดับ AMH ช่วยให้สามารถปรับแผนการรักษาได้ตามความเหมาะสม
วินิจฉัยภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS): ระดับ AMH มักจะสูงในผู้ที่มีภาวะ PCOS ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยโรคนี้ร่วมกับการตรวจอื่น ๆ
ติดตามการเปลี่ยนแปลงของรังไข่ตามอายุ: การตรวจ AMH สามารถช่วยในการติดตามสุขภาพของรังไข่ตามอายุและทำให้ทราบความสามารถในการเจริญพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงตามวัย
การวางแผนทางเลือกในการมีบุตรในอนาคต: ผู้หญิงที่ต้องการวางแผนชีวิตเกี่ยวกับการมีบุตรสามารถใช้ข้อมูลจากระดับ AMH ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเลื่อนการมีบุตรหรือการเก็บไข่สำหรับใช้ในอนาคต
การตรวจระดับ AMH เป็นเครื่องมือที่มีความเฉพาะเจาะจงและมีประโยชน์ในการประเมินสถานะการเจริญพันธุ์และการทำงานของรังไข่ อย่างไรก็ตาม การตีความผลควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด
LH ย่อมาจาก Luteinizing Hormone หรือ ฮอร์โมนลูทีไนซิง เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (anterior pituitary gland) เช่นเดียวกับ FSH และมีบทบาทสำคัญในระบบสืบพันธุ์ของทั้งเพศหญิงและเพศชาย
🔬 LH ในเพศหญิง:
ทำงานร่วมกับ FSH เพื่อกระตุ้น การเจริญเติบโตของไข่ในรังไข่
มี LH surge หรือการพุ่งขึ้นของระดับ LH อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิด การตกไข่ (ovulation)
หลังไข่ตก LH ยังช่วยให้ เซลล์ฟอลลิคูลที่เหลือกลายเป็นคอร์ปัสลูเทียม (Corpus luteum) ซึ่งจะสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
🩺 ใช้ตรวจเพื่อ:
ประเมินวันตกไข่
ตรวจภาวะมีบุตรยาก
ประเมินภาวะหมดประจำเดือน
ตรวจหาสาเหตุของรอบเดือนผิดปกติหรือขาดประจำเดือน
🧬 LH ในเพศชาย:
กระตุ้น เซลล์ Leydig ในอัณฑะให้ผลิต ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone)
มีผลต่อการสร้างตัวอสุจิ (spermatogenesis)
🩺 ใช้ตรวจเพื่อ:
ประเมินภาวะมีบุตรยากในเพศชาย
ตรวจหาสาเหตุของฮอร์โมนเพศชายต่ำ
ตรวจดูการทำงานของต่อมใต้สมอง
📌 ระดับ LH ที่ผิดปกติ อาจบ่งบอก:
LH สูง:
วัยหมดประจำเดือน
กลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS)
ภาวะรังไข่หรืออัณฑะทำงานลดลง (Primary gonadal failure)
LH ต่ำ:
ความผิดปกติของต่อมใต้สมองหรือไฮโปทาลามัส
ภาวะขาดน้ำหนักตัวมากหรือเครียดเรื้อรัง
FSH ย่อมาจาก Follicle-Stimulating Hormone หรือ “ฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญของฟอลลิคูล” เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (anterior pituitary gland) มีบทบาทสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ดังนี้:
🔬 FSH ในเพศหญิง:
กระตุ้น การเจริญของฟอลลิคูลในรังไข่ ซึ่งเป็นถุงที่บรรจุไข่
ส่งผลให้รังไข่สร้างฮอร์โมน เอสโตรเจน (Estrogen)
ช่วงที่ไข่กำลังเจริญ (ก่อนตกไข่) FSH จะมีระดับสูงขึ้น
ใช้ในการประเมินภาวะมีบุตรยาก, ภาวะหมดประจำเดือน, หรือปัญหาการทำงานของรังไข่
🧬 FSH ในเพศชาย:
กระตุ้นการสร้างอสุจิในอัณฑะ (spermatogenesis)
ทำงานร่วมกับ LH (Luteinizing Hormone) ซึ่งกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone)
📋 การตรวจ FSH ใช้ในกรณีใดบ้าง?
ประเมิน ภาวะมีบุตรยาก ทั้งชายและหญิง
ตรวจการทำงานของรังไข่ในหญิงวัยเจริญพันธุ์
ประเมิน วัยหมดประจำเดือน (FSH มักสูงขึ้น)
ตรวจดูการทำงานของ ต่อมใต้สมอง
ตรวจ ภาวะไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนผิดปกติ
🩺 ค่า FSH ที่ผิดปกติ อาจบ่งบอกว่า:
FSH สูง: อาจบ่งชี้ว่ารังไข่หรืออัณฑะทำงานลดลง เช่น ภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัย, Primary ovarian insufficiency
FSH ต่ำ: อาจเกิดจากปัญหาที่ต่อมใต้สมองหรือไฮโปทาลามัส ไม่สามารถหลั่ง FSH ได้เพียงพอ
โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) คืออะไร?
โรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) คือกลุ่มอาการที่เกิดจากปัญหาฮอร์โมนในผู้หญิง โดยส่งผลกระทบต่อรังไข่ ซึ่งเป็นอวัยวะขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เก็บไข่ของผู้หญิง แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้เช่นกัน PCOS เป็นภาวะที่พบได้บ่อยมากในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ในบางกรณีอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้หากไม่ได้รับการรักษา
การตกไข่เกิดขึ้นเมื่อไข่ที่โตแล้วถูกปล่อยออกมาจากรังไข่ ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อให้ไข่ได้รับการปฏิสนธิกับอสุจิของผู้ชาย หากไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ ไข่ก็จะถูกขับออกจากร่างกายในช่วงที่มีประจำเดือน
ในบางกรณี ผู้หญิงสร้างฮอร์โมนไม่เพียงพอต่อการตกไข่ เมื่อไม่มีการตกไข่ รังไข่จะพัฒนาเป็นถุงเล็กๆ จำนวนมากที่เต็มไปด้วยของเหลว (ซีสต์) ซีสต์เหล่านี้สร้างฮอร์โมนที่เรียกว่าแอนโดรเจน แอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่มักพบมากในผู้ชาย แต่ผู้หญิงมักจะมีในปริมาณน้อยกว่า ผู้หญิงที่เป็นโรค PCOS มักจะมีระดับแอนโดรเจนสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ มากขึ้นกับรอบเดือนของผู้หญิง และอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ของโรค PCOS ได้
การรักษา PCOS มักทำโดยการใช้ยา การใช้ยาไม่สามารถรักษา PCOS ได้ แต่สามารถบรรเทาอาการและป้องกันปัญหาสุขภาพบางอย่างได้
PCOS คืออะไร?
โรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS)เป็นภาวะที่พบบ่อยในผู้หญิง โดยพบซีสต์จำนวนมากในรังไข่ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าผู้หญิงมากถึง 20% เป็นโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCO) โดยไม่เป็นโรคถุงน้ำเต็มใบ (PCOS) ซึ่งส่งผลต่อผู้หญิง 5-10%
และเกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของฮอร์โมนและอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
ซีสต์ที่พบในรังไข่คือไข่ที่มีฟอลลิเคิลที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ซึ่งหมายความว่าไข่ที่เริ่มเจริญเติบโตในรังไข่จะหยุดเจริญเติบโตเมื่อยังเล็กเกินกว่าจะปล่อยออกมาได้ และจะยังคงอยู่ในรังไข่
ผู้หญิงที่เป็นโรค PCOS มักมีฮอร์โมนไม่สมดุล และมีอาการอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ขนขึ้นไม่ปกติ น้ำหนักขึ้น สิว รอบเดือนไม่ปกติ และภาวะซึมเศร้า อาการเหล่านี้อาจเป็นแบบเล็กน้อยหรือรุนแรง และในหลายๆ กรณี มักเริ่มมีอาการในช่วงวัยรุ่น
PCOS มีความหมายต่อภาวะเจริญพันธุ์อย่างไร?
ผู้หญิงที่เป็นโรค PCOS อาจมีภาวะดื้อต่ออินซูลินและมีการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจากรังไข่สูงกว่าปกติ นอกจากนี้ โรคนี้ยังมีลักษณะเฉพาะคือความไม่สมดุลของฮอร์โมนอื่นๆ เช่น โกลบูลินจับฮอร์โมนเพศ (SHBG) ฮอร์โมนลูทีไนซิง (LH) และฮอร์โมนแอนตี้มูลเลเรียน (AMH)ความไม่สมดุลนี้ร่วมกันอาจทำให้ผู้หญิงมีปัญหาในการตั้งครรภ์ได้
อาการของ PCOS
“ประจำเดือนขาดหรือมาไม่ปกติ” – อาการที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงที่เป็นโรค PCOS
ขนขึ้นตามบริเวณที่ไม่ต้องการของร่างกาย เช่น ใบหน้า หน้าอก ท้อง นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วเท้า บางครั้งเรียกว่า “ภาวะขนดก”
ผมร่วงบริเวณศีรษะ
ผิวมันและสิว การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนสามารถทำให้ผิวมันและสิวได้เช่นเดียวกับวัยรุ่น นี่ไม่ใช่สัญญาณที่บ่งบอกว่ามีปัญหา PCOS แต่ผู้หญิงที่มีปัญหานี้สามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
ผิวคล้ำ – อาจสังเกตเห็นรอยดำหนาๆ บนผิวหนังใต้รักแร้หรือหน้าอก ด้านหลังคอ และบริเวณขาหนีบ อาการนี้เรียกว่า "โรคผิวหนังหนาสีดำ"
อ่อนล้าตลอดเวลา และมีปัญหาในการนอนหลับ – คุณอาจมีปัญหาในการนอนหลับพักผ่อนให้สบาย หรืออาจประสบกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (ซึ่งเป็นภาวะที่คุณลืมหายใจในขณะนอนหลับ ไม่ใช่ว่าลืมจริง ๆ เพียงแต่จังหวะการเต้นจะหายไป)
อาการปวดหัว
ประจำเดือนมาหนักเมื่อเกิดขึ้น
ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ – เรื่องนี้วนเวียนอยู่กับการหลั่งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและการควบคุมรอบเดือน ผู้หญิงที่มีรอบเดือนผิดปกติหรือไม่สม่ำเสมอจะไม่ปล่อยไข่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ
น้ำหนักเพิ่มขึ้น – ผู้หญิงหลายคนที่เป็นโรค PCOS จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นและลดน้ำหนักได้ยาก การมีน้ำหนักเกินทำให้ปัญหาโรค PCOS ทวีความรุนแรงมากขึ้น
การวินิจฉัยโรค PCOS
1. การตรวจเพื่อยืนยันภาวะแอนโดรเจนเกิน
Total Testosterone/ Free testosterone
ในผู้ป่วย PCOS จะมีระดับ Testosterone อยู่ในช่วง 50-150 ng/dL แต่ผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกของรังไข่ที่สร้างฮอร์โมนแอนโดรเจนมักจะมีค่าสูงเกิน 200 ng/dL
2. การส่งตรวจเพื่อวินิจฉัยแยกโรคอื่นออกไป
DHEAS เพื่อวินิจฉัยแยกโรคเนื้องอกของต่อมหมวกไตที่สร้างแอนโดรเจน ซึ่งระดับของ DHEAS มักสูงเกิน 7,000 ng/dl ในขณะที่ PCOS จะต่ำกว่า 500 ng/dl
17-OHP เพื่อวินิจฉัยแยกโรค Congenital adrenal hyperplasia ที่เกิดจากการขาดเอนไซม์ 21- hydroxylase ในรายที่ 17-OHP สูงกว่า 200 ng/dl ควรทำACTH stimulation test ต่อ
Prolactin ในกรณีที่ผู้ป่วยมาด้วยเรื่องขาดระดูเพื่อวินิจฉัยภาวะ hyperprolactinemia แต่ก็มีผู้ป่วย PCOS ประมาณร้อยละ 15-20 ที่มีระดับ prolactin สูงกว่าปกติอยู่ในช่วง 20-40 ng/dl
Thyroid stimulating hormone (TSH) เพื่อวินิจฉัยภาวะ thyroid dysfunction
LH : FSH ratio ปกติ LH: FSH ratio 1:1 ซึ่งในผู้ป่วย PCOS จะมีค่าสูงกว่าปกติราว 2:1 หรือมากกว่า 3:1 แต่ไม่ค่อยช่วยในการวินิจฉัยเพราะมีผู้ป่วยร้อยละ 40 ที่มีอัตราส่วนของ LH : FSH ปกติ แต่การวัดระดับ FSH อาจช่วยในการวินิจฉัยแยกภาวะหมดระดูก่อนวัยอันควรในรายที่ปัญหาขาดระดู
24 hr urine test for urinary free cortisol เพื่อใช้ในการวินิจฉัยแยกภาวะ Cushing syndrome
3. การตรวจเพื่อประเมินความผิดปกติของ metabolic
2-hour oral glucose tolerance test (75 grams)
การตรวจวัดระดับไขมันในเลือด
4. การตรวจอัลตราซาวน์ เพื่อประเมินลักษณะของรังไข่เพื่อประกอบการวินิจฉัยและช่วยในการวินิจฉัยแยกโรค